DSI ชี้แจงกรณีหนังสือแจ้งญาติผู้ต้องขังเขาบิน-พร้อมให้ความเป็นธรรม หากพบความผิดเข้าข่ายเป็นคดีพิเศษพร้อมดำเนินการ !!
เผยแพร่: 26 พ.ค. 2568 15:27 น. ปรับปรุง: 26 พ.ค. 2568 15:29 น. เปิดอ่าน 80 ครั้งDSI ชี้แจงกรณีหนังสือแจ้งญาติผู้ต้องขังเขาบิน-พร้อมให้ความเป็นธรรม
หากพบความผิดเข้าข่ายเป็นคดีพิเศษพร้อมดำเนินการ !!
ตามที่ปรากฏข่าวผ่านสื่อสาธารณะต่าง ๆ เผยแพร่เฟซบุ๊ก “ทนายเกิดผล แก้วเกิด” โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุ “กรมสอบสวนคดีพิเศษ โดนแหกตา! หลังร่อนหนังสือแจงญาตินักโทษว่าจะไม่สอบสวนคดีผู้คุมทำร้ายร่างกายในเรือนจำเขาบิน เนื่องจากไม่พบการกระทำความผิด แต่ภายหลังกลับมีคลิปผู้คุมเอาไม้ฟาดนักโทษหลุดออกมา” สืบเนื่องจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยกองกิจการอำนวยความยุติธรรม มีหนังสือแจ้งผลการดำเนินการในเรื่องที่มีการร้องเรียนกล่าวหาเจ้าหน้าที่เรือนจำเขาบิน จังหวัดราชบุรี ทำร้ายนักโทษ ว่าไม่พบมูลความผิดทางอาญา นั้น
กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้มอบหมายให้กองกิจการอำนวยความยุติธรรม รายงานข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวแล้ว ปรากฏข้อเท็จจริงโดยสรุปว่า เป็นกรณีญาติของผู้ต้องขังเรือนจำเขาบิน ยื่นหนังสือต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษขอให้ดำเนินการ กรณี นักโทษชายธีธัช (สงวนนามสกุล) ถูกเจ้าหน้าที่เรือนจำฯ ทำร้ายได้รับบาดเจ็บ จึงมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงร่วมกับกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ได้ความว่าเรือนจำเขาบินเป็นเรือนจำประเภท “ความมั่นคงสูง” เพื่อควบคุมผู้ต้องขังรายสำคัญของกรมราชทัณฑ์ นักโทษชายธีธัชฯ เป็นนักโทษชั้นต้องปรับปรุงมาก แดน 4 รับย้ายมาจากเรือนจำกลางคลองเปรมฯ กรุงเทพมหานคร ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด อัตราโทษจำคุก 32 ปี 6 เดือน กำหนดพ้นโทษวันที่ 3 ธันวาคม 2594 โดยเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2567 เกิดเหตุทะเลาะวิวาทระหว่างนักโทษในเรือนจำภายในแดน 3 มีผู้ร่วมวิวาทประมาณ 300 คน รวมทั้งนักโทษชายธีธัชฯ ด้วย โดยเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ฯ เพื่อควบคุมพื้นที่และระงับการก่อความวุ่นวาย ซึ่งมีนักโทษบางรายบาดเจ็บและได้ส่งตัวเข้ารับการรักษาพยาบาล รวมทั้งถูกแยกควบคุมตัวตามแดนต่าง ๆ และกรมราชทัณฑ์มีการสอบสวนทางวินัยกับกลุ่มนักโทษและลงโทษทางวินัยแล้ว ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษได้เข้าตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดของเรือนจำจากศูนย์ควบคุมเพื่อตรวจดูภาพเคลื่อนไหวในวันเกิดเหตุแล้ว แต่ไม่พบภาพการทำร้ายนักโทษชายธีธัชฯ ตามที่ระบุในคำร้อง และไม่ปรากฏภาพวงจรปิดหรือวิดีโออื่นอีก ประกอบกับปรากฏข้อมูลว่าผู้ร้องได้แจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่เรือนจำเขาบิน กล่าวหาให้ดำเนินคดีอาญาในความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 กับพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองราชบุรี ท้องที่เกิดเหตุแล้ว อันเป็นไปตามพระราชบัญญัติดังกล่าว มาตรา 31 วรรคหนึ่ง แล้วจากข้อเท็จจริงที่ปรากฏในชั้นนี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษจึงยังมิได้รับเรื่องดังกล่าวไว้ทำการสอบสวนเป็นคดีพิเศษ
อย่างไรก็ตาม เมื่อปรากฏหลักฐานเพิ่มเติมเป็นคลิปภาพวิดีโอหรือภาพถ่าย กรมสอบสวนคดีพิเศษจะประสานความร่วมมือจากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ตรวจสอบ หากเป็นคลิปที่มิได้เกิดจากการทำขึ้นหรือแก้ไขเพิ่มเติมและเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ก็ย่อมเป็นหลักฐานสำคัญ และนำไปสู่การประสานการสืบสวนสอบสวนกับพนักงานสอบสวนท้องที่เกิดเหตุเพื่ออำนวยความยุติธรรมต่อไป จึงประชาสัมพันธ์มาเพื่อทราบ