DSI สนธิกำลังตรวจค้นโรงงานคัดแยกขยะขนาดใหญ่ในจังหวัดปทุมธานี ส่อลักลอบกำจัดวัตถุอันตรายโดยมิชอบ ส่งผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง
เผยแพร่: 24 ก.ค. 2568 17:16 น. ปรับปรุง: 24 ก.ค. 2568 17:16 น. เปิดอ่าน 109 ครั้งวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 เวลา 10.00 น. พันตำรวจตรี วรณัน ศรีล้ำ ผู้อำนวยการกองคดีคุ้มครองผู้บริโภค นายอังศุเกติ์ วิสุทธิ์วัฒนศักดิ์ ผู้อำนวยการกองกิจการอำนวยความยุติธรรม นายจักรภพ กลิ่นหอม ผู้อำนวยการส่วนกิจการอำนวยความยุติธรรม 2 /หัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนและคณะฯ สนธิกำลังร่วมกับกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย พันตำรวจเอก วิญญู แจ่มใส ผู้กำกับการ 2 นายสราวุธ พรทิพย์ ผู้ช่วยอุตสาหกรรมจังหวัดปทุมธานี เจ้าหน้าที่จากกรมควบคุมมลพิษ และกรมทรัพยากรน้ำบาดาล รวม จำนวน 50 นาย นำหมายค้นของศาลอาญาที่ 598/2568 ลงวันที่ 23 กรกฎาคม 2568 เข้าทำการตรวจค้น บริษัท ต.คิดดี โปรดักส์ จำกัด อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี พร้อมบริเวณภายในสถานที่ตรวจค้น ประกอบด้วยโรงงานคัดแยกขยะ บ่อขยะ บ่อบำบัดน้ำเสีย ที่ทิ้งขยะ เพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการประกอบกิจการ เช่นใบอนุญาตจัดตั้งโรงงาน การใช้ประโยชน์ในที่ดิน การใช้เครื่องจักรการกำจัดวัตถุอันตราย รวมถึงการเก็บข้อมูลการประกอบกิจการคัดแยกขยะ รายการซื้อขาย และยังทำการเก็บตัวอย่างวัตถุอันตราย รวมถึงเก็บตัวอย่างน้ำในบริเวณโรงงานและบริเวณพื้นที่รอบนอกโรงงาน คลองสาธารณะ รวมถึงการเจาะเก็บตัวอย่างดิน เพื่อตรวจสอบว่ามีโลหะหนักและวัตถุอันตรายปล่อยลงสู่แหล่งน้ำหรือซึมลงไปในพื้นที่บริเวณใกล้เคียง หรือไม่
กรณีดังกล่าว สืบเนื่องจาก กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้รับการร้องเรียนจากประชาชนในพื้นที่ว่าได้รับความเดือดร้อนจากการปล่อยของเสียของบริษัทที่รับกำจัดขยะและมีการนำวัตถุอันตรายประเภท สารเคมี และโลหะหนัก เข้ามาจำหน่ายหรือทิ้งขยะในโรงงานดังกล่าวจำนวนมากส่งผลกระทบต่อประชาชนโดยรอบเป็นวงกว้าง พันตำรวจตรียุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ จึงมีคำสั่งให้ทำการสืบสวนเรื่องดังกล่าว โดยมอบหมายให้กองกิจการอำนวยความยุติธรรมเป็นหน่วยงานเจ้าของเรื่องในการสืบสวน โดยประสานความร่วมมือกับกองคดีคุ้มครองผู้บริโภค เบื้องต้นมีเหตุอันควรสงสัยว่าโรงงานได้มีการปล่อยน้ำเสียลงในแหล่งน้ำสาธารณะ โดยไม่มีการจัดให้มีบ่อบำบัดน้ำเสียที่ได้มาตรฐาน มีการเผาขยะและส่งกลิ่นเหม็นไปทั่วบริเวณเป็นวงกว้าง โดยใช้แรงงานต่างด้าวจำนวนมาก และอาจมีผู้มีอิทธิพลในพื้นที่อยู่เบื้องหลังคอยให้ความช่วยเหลือจึงทำให้สามารถประกอบกิจการได้อย่างต่อเนื่องแม้จะมีการร้องเรียนไปหลายหน่วยงาน จึงนำมาสู่การสืบสวนและสนธิกำลังเพื่อตรวจค้นและแสวงหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานในครั้งนี้ ทั้งนี้ หากพบว่าเข้าข่ายเป็นความผิดที่เป็นคดีพิเศษ จะดำเนินการสืบสวนและสอบสวนตามพระราชบัญญัติการสอบสวนพิเศษ พ.ศ. 2547 ต่อไป