สรุปผลการประชุม ศรส. เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2557

เผยแพร่: 24 ก.พ. 2557 14:22 น. ปรับรุง: 24 ก.พ. 2557 14:22 น. เปิดอ่าน 1471 ครั้ง  
 

สรุปผลการประชุม ศรส. เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์  2557 

 

ศูนย์รักษาความสงบ หรือ ศรส. มีผลการประชุมสมควรแจ้งให้พี่น้องประชาชนทราบ ดังนี้  

1. ตามที่ผู้อำนวยการ ศรส. ได้มีหนังสือถึงพนักงานอัยการเพื่อให้ดำเนินการยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลแพ่งในคดีที่นายถาวร  เสนเนียม  เป็นโจทก์ ฟ้อง นางสาวยิ่งลักษณ์  ชินวัตร จำเลยที่ 1  กับพวก  โดยให้ข้อบังคับตามประกาศและข้อกำหนดไม่มีผลบังคับต่อโจทก์และประชาชน และห้ามจำเลยกระทำการรวม 9 ข้อ ดังเป็นที่ทราบกันทั่วไปแล้วนั้น  พนักงานอัยการที่รับผิดชอบในเรื่องนี้ได้แจ้งว่า จะได้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษา พร้อมคำร้องขอให้ศาลอุทธรณ์สั่งทุเลาการบังคับตามคำพิพากษาของศาลแพ่งตามขั้นตอนของกฎหมาย เพื่อยืนยันถึงอำนาจหน้าที่และดุลยพินิจของฝ่ายบริหารในการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ โดยจะได้นำเสนอข้อเท็จจริงทั้งหลายทั้งปวงที่แกนนำ กปปส. ได้ร่วมกันกระทำความผิดอย่างต่อเนื่องติดต่อกันตลอดมาจนถึงเหตุการณ์และความเสียหายที่เป็นปัจจุบัน  พร้อมพยานเอกสารหลักฐานที่เป็นภาพถ่าย ภาพเคลื่อนไหวต่าง ๆ ซึ่งเห็นได้ชัดเจนว่า ปัจจุบันนี้ กปปส. มิได้ชุมนุมโดยสงบ เปิดเผย และปราศจากอาวุธ  รวมถึงที่ศาลอาญาได้ออกหมายจับข้อหากบฏต่อนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับพวกด้วย และเพื่อความรอบคอบและสมบูรณ์ดังกล่าว พนักงานอัยการจะได้ยื่นเรื่องต่อศาลอุทธรณ์ได้ภายในสัปดาห์นี้   อนึ่ง จากเหตุการณ์ร้ายแรงที่ปรากฏอย่างต่อเนื่องมาหลังจากที่ศาลแพ่งได้มีคำพิพากษานั้น  ศรส.มีความกังวลใจเป็นอย่างมาก และใคร่ขอร้องกลุ่มผู้ชุมนุมต่าง ๆ ทั้งที่สนับสนุน กปปส. กลุ่มที่คัดค้าน กปปส. กลุ่ม นปช. และกลุ่มอื่น ๆ ได้โปรดอดทน อดกลั้น  อย่าได้ออกมาใช้ความรุนแรง เพราะมีแนวโน้มว่า สถานการณ์จะวิกฤติมากขึ้นเรื่อย ๆ จนอาจนำไปสู่สงครามกลางเมือง  ซึ่งจะเกิดความเสียหายต่อชาติบ้านเมืองเป็นอย่างมาก  และยากแก่การแก้ไขเยียวยาให้กลับคืนสู่สภาพเดิม สำหรับส่วนราชการและหน่วยงานต่าง ๆ นั้น ศรส.ขอได้โปรดปฏิบัติหน้าที่และภารกิจของตนโดยเคร่งครัด เฉพาะอย่างยิ่งการรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง  อย่างไรก็ตาม ศรส.เองได้ปรับกำลังตำรวจให้ทำหน้าที่ดูแลและเฝ้าระวังเหตุร้ายต่าง ๆ ทั่วกรุงเทพมหานคร โดยเพิ่มอัตรากำลังอีกถึง 2,000 นาย แต่ก็ยังมีข้อจำกัดที่ กปปส. ห้ามไม่ให้ตำรวจเข้าตรวจตราดูแลในบริเวณการชุมนุม ซึ่งตำรวจจะได้พยายามทำหน้าที่ต่อไปให้ดีที่สุด  

 

2. ตามที่ ศรส.เห็นชอบให้ส่งข้อมูลเกี่ยวกับนายสาธิต เซกัล สัญชาติอินเดีย มีพฤติการณ์รับฟังได้ว่า เป็นบุคคลต่างด้าวที่มีเหตุอันควรเชื่อว่าเป็นผู้สนับสนุนการกระทำให้เกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน ตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ เพื่อให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาดำเนินการต่อไปนั้น ขณะนี้คณะกรรมการพิจารณาคนเข้าเมือง ซึ่งเป็นคณะกรรมการตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวแล้วมีมติว่า นายสาธิตฯ  มีพฤติการณ์เป็นที่น่าเชื่อว่าเป็นบุคคลที่เป็นภัยต่อสังคม หรือจะก่อเหตุร้ายให้เกิดอันตรายต่อความสงบสุขหรือความปลอดภัยของประชาชนหรือความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร เห็นควรเพิกถอนการอนุญาตให้มีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร ตามมาตรา 53 ประกอบมาตรา 12(7) แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 และจะได้นำเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเพื่อสั่งเพิกถอนการอนุญาตให้มีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรของนายสาธิตฯ ต่อไป ซึ่ง ศรส. ได้รับทราบแล้วมีความเห็นว่า ตามมาตรา 7 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ  ประกอบกับคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ พิเศษ 1/2557 เรื่อง การจัดตั้งศูนย์รักษาความสงบ ฉบับลงวันที่ 21 มกราคม 2557 อำนาจหน้าที่การสั่งเพิกถอนฯ ดังกล่าว ได้โอนมาเป็นของผู้อำนวยการ ศรส.แล้ว  ศรส.จึงจะได้ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป โดยจะให้ผู้อำนวยการ ศรส. ลงนามสั่งเพิกถอนการอนุญาตให้ นายสาธิตฯ มีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรตามกฎหมายโดยเร็วต่่อไป

 

3. ศรส.ได้รับรายงานจากกองบัญชาการตำรวจนครบาลและตำรวจภูธรภาคถึงความคืบหน้าในการดำเนินคดีกับแกนนำ กปปส. และแนวร่วม กรณีร่วมกันกระทำผิดด้วยการขัดขวางการเลือกตั้ง ด้วยวิธีการต่าง ๆ ทั้งในกรุงเทพมหานครและในต่างจังหวัดโดยเฉพาะภาคใต้  ซึ่งเป็นความผิดร้ายแรงต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย  เป็นการล่วงละเมิดสิทธิของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งโดยตรงขณะนี้มีจำนวนคดีประเภทขัดขวางการเลือกตั้งทั่วประเทศ จำนวน 185 คดี  คดีประเภทเป็นเจ้าหน้าที่ กกต.  จงใจละทิ้งหน้าที่ไม่จัดการเลือกตั้ง จำนวน 170 คดี  รวมคดีทั้งสิ้น 355 คดี และศาลได้ออกหมายจับให้แล้วจำนวน 124 คน  ขณะนี้ได้ตัวมาดำเนินคดีแล้วจำนวน 43 คน  

 

4. ตามนโยบายของ ศรส. ร่วมกับส่วนราชการต่าง ๆ ได้เห็นถึงความจำเป็นและความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนจากการปิดกรุงเทพมหานครของ กปปส.  โดยเฉพาะสถานที่ราชการ  ดังนั้น เพื่อให้สถานที่ราชการสามารถกลับมาเปิดให้บริการประชาชนได้ตามเดิม  ศรส. ร่วมกับส่วนราชการจึงได้ดำเนินการเปิดสถานที่ราชการต่าง ๆ ที่ถูกปิดให้เริ่มเปิดทำการได้  ขณะนี้สามารถเปิดได้ถึง 53 แห่งแล้ว  แต่หลังจากที่ศาลแพ่งได้มีคำพิพากษา ส่งผลให้ ศรส.ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ในส่วนที่เป็นสาระสำคัญหลักตามกฎหมายได้  และเป็นผลให้ กปปส. ไปบุกรุก ปิดล้อมสถานที่ราชการและขับไล่ข้าราชการไม่ให้ทำงานอีก โดยเฉพาะในเช้าวันนี้ กปปส. ได้ไปบุกรุกปิดล้อมส่วนราชการ จำนวน 5 แห่ง ได้แก่ กรมศุลกากร  กระทรวงการต่างประเทศ  กระทรวงพลังงาน กระทรวงการคลัง กรมสรรพากร และบริษัทเอกชน จำนวน 2 แห่ง ได้แก่ สถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี  บริษัทเอ็มลิ้ง เอเชีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)  

 

 จึงประกาศมาเพื่อทราบทั่วกัน

ข่าวล่าสุด

ข่าวที่น่าสนใจ