สรุปผลการประชุม ศรส. เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2557

เผยแพร่: 15 ก.พ. 2557 14:34 น. ปรับรุง: 15 ก.พ. 2557 14:34 น. เปิดอ่าน 1430 ครั้ง  
 

สรุปผลการประชุม ศรส. เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์  2557 

 

ศูนย์รักษาความสงบ หรือ ศรส. มีผลการประชุมสมควรแจ้งให้พี่น้องประชาชนทราบ ดังนี้  

1.ศรส.ขอเรียนว่า การเริ่มปฏิบัติการของ ศรส. ด้วยการใช้กำลังตำรวจเข้าดำเนินการในพื้นที่ต่าง ๆ ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่เมื่อเช้าวานนี้นั้น  การปฏิบัติการดังกล่าวไม่ใช่การสลายการชุมนุม หรือการกระชับพื้นที่  หรือการขอคืนพื้นที่  แต่เป็นการปฏิบัติการเพื่อการเข้าตรวจค้น ติดตามจับกุมผู้กระทำผิดตามหมายจับของศาล หรือการเปิดสถานที่ราชการหรือถนนสาธารณะ ซึ่งจะปฏิบัติตามกรอบของกฎหมายและความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่ โดยมียุทธวิธีที่เหมาะสมต่างกันไป  ประการสำคัญเป็นการปฏิบัติการโดยเปิดเผย  จึงได้แจ้งให้สื่อมวลชนเข้าร่วมทำข่าว มีส่วนร่วมและช่วยตรวจสอบด้วย อาทิเช่น   การปฏิบัติการเมื่อวานนี้ที่บริเวณถนนข้างทำเนียบรัฐบาล  เป็นการเข้าตรวจค้นจับกุมผู้กระทำผิดตามกฎหมาย  เมื่อเข้าปฏิบัติการแล้วก็ได้ตรวจยึดอาวุธ  ยาเสพติด  และสิ่งของผิดกฎหมายต่าง ๆ เช่น อุปกรณ์ใช้ทำวัตถุระเบิด  ส่วนผู้กระทำผิดได้หลบหนีไป  ดังนั้น เมื่อปฏิบัติการเสร็จสิ้น จึงให้กำลังตำรวจกลับสู่ที่ตั้ง โดยไม่จำเป็นต้องคงกำลังตำรวจไว้ในพื้นที่  เพราะไม่ใช่การขอคืนพื้นที่   ส่วนที่ถนนแจ้งวัฒนะซึ่งกำลังปฏิบัติการในวันนี้  ก็เพื่อเข้าตรวจสอบลาดตระเวน  เจรจา และกดดัน เพื่อทำการเปิดสถานที่ศูนย์ราชการ และถนนแจ้งวัฒนะ  กลับมาให้บริการประชาชนได้ดังเดิมรวมถึงการเข้าจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ คือ พระพุทธอิสระและการ์ดที่คุ้มกันด้วย  ซึ่งต้องกระทำด้วยความระมัดระวัง มิให้เกิดการสูญเสียโดยเฉพาะประชาชนที่ถูกใช้เป็นโล่ห์มนุษย์   ศรส. ขอยืนยันว่าจะไม่ปล่อยปะละเลยให้แกนนำ กปปส.  การ์ดที่คุ้มกัน และผู้เข้าร่วมกระทำความผิดด้วยวิธีการต่าง ๆ นานา โดยเฉพาะเป็นการกระทำผิดซ้ำแล้วซ้ำอีกต่อไปเป็นอันขาด  

 

2.กรณีศาลแพ่งได้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้กับนายเสรี  วงษ์มณฑา หนึ่งในแกนนำ กปปส. ที่ถูกดำเนินคดี โดยศาลได้สั่งให้กรมสอบสวนคดีพิเศษระงับการสั่งธนาคารอายัดบัญชี รวม 7 บัญชี นั้น ศรส.ได้รับรายงานว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษจะปฏิบัติตามคำสั่งศาลทันทีที่ได้รับแจ้งคำสั่ง ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเคารพและปฏิบัติตามคำสั่งของศาล แต่อย่างไรก็ตาม นายเสรี กับแกนนำ กปปส.ทุกคน รวม 58 คน ก็อาจถูกอายัดบัญชีระงับการทำธุรกรรมตามที่ ศรส. ได้แต่งตั้งคณะทำงานที่ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ 5 หน่วยงาน คือ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน กรมสอบสวนคดีพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรมสรรพากร ซึ่งกำลังพิจารณาตรวจสอบและเตรียมสั่งอายัดบัญชีระงับการทำธุรกรรมตามที่พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ ให้อำนาจไว้   ดังนั้น การใช้อำนาจสั่งอายัดบัญชีตามกฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษที่ศาลสั่งให้ยกเลิก จึงเป็นคนละกรณีกับการจะสั่งอายัดหรือระงับการทำธุรกรรมตามพระราชกำหนดการบริหารราชการ ในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ  ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ของ ศรส.  ทั้งนี้ ศรส. ได้กำชับเจ้าหน้าที่ทั้ง 5 หน่วยงาน ให้ตรวจสอบและพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย โดยเฉพาะกลุ่มผู้สนับสนุนการกระทำผิดที่เรียกว่า ท่อน้ำเลี้ยง และในวันนี้ ศรส. ได้มีมติจะทำการตรวจสอบ แล้วเชิญผู้ต้องสงสัยมาชี้แจงก่อน หากชี้แจงไม่ได้จึงจะประกาศรายชื่อระงับการทำธุรกรรม  ซึ่งเป็นการให้ความเป็นธรรมมากกว่าที่เคยปฏิบัติโดย ศอฉ. ในรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ เมื่อครั้งเหตุการณ์ชุมนุมในปี 2553  ที่ออกคำสั่งระงับการทำธุรกรรมก่อน แล้วจึงให้ชี้แจงภายหลัง  

 

3.กรณีนายสนธิญาณ  ชื่นฤทัยในธรรม  ผู้ต้องหา ซึ่งเป็นหนึ่งในแกนนำ กปปส.  ที่ศาลได้ออกหมายจับประเภทหมาย ฉ. ตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ  จะครบกำหนดควบคุมตัว 7 วัน ในวันอาทิตย์นี้  เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้นำตัวไปขออนุญาตศาลควบคุมตัวต่ออีก 7 วัน  ซึ่งศาลเห็นว่า ไม่มีความจำเป็นต้องควบคุมตัวแล้วจึงให้ปล่อยตัวนั้น  ศรส.ได้รับแจ้งว่า นายสนธิญาณ  ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีร้ายแรงคือ ข้อหาร่วมกันเป็นกบฏ ร่วมกันก่อความไม่สงบในบ้านเมือง และร่วมกันยุยงส่งเสริมให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมาย  ซึ่งเป็นคดีพิเศษที่มีเจ้าพนักงาน 3 ฝ่ายร่วมกันสอบสวน คือตำรวจ  พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ และพนักงานอัยการ  และเมื่อวานนี้ คณะพนักงานสอบสวนพร้อมด้วยพนักงานอัยการก็ได้เข้าแจ้งข้อหาร้ายแรงดังกล่าวแก่นายสนธิญาณ เรียบร้อยแล้ว และในวันนี้ก็ได้ยื่นคำร้องต่อศาลขอออกหมายขังมีกำหนดครั้งละ 12 วัน รวมแล้วไม่เกิน 84 วัน โดยล่าสุดเมื่อเวลา 12.00 นาฬิกา ศาลอาญาได้อนุมัติให้ฝากขัง นายสนธิญาณ มีกำหนด 12 วันแล้ว ซึ่งเป็นการดำเนินการตามกฎหมายปกติ คือ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  โดยได้ขอศาลคัดค้านการประกันตัว  เพราะเป็นคดีอุกฉกรรจ์โทษสูงสุดถึงประหารชีวิต  และหากปล่อยตัวไปก็เชื่อว่าจะไปกระทำผิดซ้ำอีก  ศรส.ขอยืนยันว่า การปฏิบัติตามที่กล่าวมานี้ เป็นขั้นตอนปกติตามกฎหมายซึ่งไม่อาจปฏิบัติเป็นอื่นได้ และไม่มีการกลั่นแกล้งแต่อย่างใด  

 

4.ศรส.ได้รับรายงานจากกองบัญชาการตำรวจนครบาลและตำรวจภูธรภาคถึงความคืบหน้าในการดำเนินคดีกับแกนนำ กปปส. และแนวร่วมกรณีร่วมกันกระทำผิดด้วยการขัดขวางการเลือกตั้งด้วยวิธีการต่างๆ ทั้งในกรุงเทพมหานครและในต่างจังหวัดโดยเฉพาะภาคใต้  ซึ่งเป็นความผิดร้ายแรงต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยเป็นการล่วงละเมิดสิทธิของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งโดยตรง  ขณะนี้  มีจำนวนคดีประเภทขัดขวางการเลือกตั้งทั่วประเทศ จำนวน 159 คดี  คดีประเภทเป็นเจ้าหน้าที่ กกต. จงใจละทิ้งหน้าที่ไม่จัดการเลือกตั้ง จำนวน168 คดี  รวมคดีทั้งสิ้น 327 คดี และศาลได้ออกหมายจับ  ให้แล้วจำนวน 67 คน  จึงประกาศมาเพื่อทราบทั่วกัน

ข่าวล่าสุด

ข่าวที่น่าสนใจ