รมว.ยธ. เป็นสักขีพยาน DSI ส่งมอบทรัพย์สินที่ยึด อายัดในคดีพิเศษที่ 290/2565 กรณี หจก. พี มายเนอร์ คริปโตเคอเรนซี่ กรุ๊ป มูลค่ารวมกว่า 251 ล้านบาท ให้ ปปง. เฉลี่ยคืนผู้เสียหาย
published: 10/22/2025 4:34:57 PM updated: 10/22/2025 4:45:49 PM 20 views
ในวันนี้ วันพุธที่ 22 ตุลาคม 2568 เวลา 10.00 น. พลตำรวจโท รุทธพล เนาวรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พันตำรวจตรี ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ นายเทพสุ บวรโชติดารา เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ของทั้ง 2 หน่วยงาน ได้เข้าร่วมแถลงข่าวการส่งมอบทรัพย์สินที่ยึด อายัด ที่ได้มาจากการกระทำความผิด กรณี ห้างหุ้นส่วนจำกัด พี มายเนอร์ คริปโตเคอเรนซี่ กรุ๊ป กับพวก ได้ร่วมกันหลอกลวงชักชวนประชาชนให้เข้าร่วมลงทุนทำการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล (Crypto currency) และทำเหมืองขุดบิตคอยน์ (Bitcoin) โดยเสนอผลประโยชน์ตอบแทนให้แก่ผู้ลงทุนในอัตราร้อยละ 69.38 – 419.75 ต่อปี เป็นคดีพิเศษที่ 290/2565 ส่งมอบแก่สำนักงาน ปปง. เพื่อดำเนินการเฉลี่ยคืนเยียวยาความเสียหายให้แก่ผู้เสียหาย ตามที่ได้มีคำสั่งคณะกรรมการธุรกรรม ที่ ย.229/2568
โดยทรัพย์สินที่ส่งมอบให้สำนักงาน ปปง. ในคดีนี้ สืบเนื่องจากคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษกองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้ทำการยึดอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดของกลุ่มผู้ต้องหาไว้มากกว่า 264 รายการ อาทิ เงินฝากในบัญชีธนาคารมากกว่า 113 ล้านบาท สินทรัพย์ดิจิทัล 49 ล้านบาท กรมธรรม์ประกันชีวิต บ้าน/ที่ดินตามโฉนดหลายสิบแปลง ห้องชุด รถยนต์หรูยี่ห้อ เช่น BENTLEY PORSCHE FERRARI LAMBORGHINI BMW รถจักรยานยนต์หรูยี่ห้อ HARLEY DAVIDSON, INDIAN เป็นต้น ซึ่งสำนักงาน ปปง. ได้มีคำสั่งคณะกรรมการธุรกรรม ที่ ย.229/2568 ลงวันที่ 11 กันยายน 2568 ให้ยึด และอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดไว้ชั่วคราว เพื่อดำเนินการมาตรการทางแพ่ง จำนวนทั้งสิ้น 264 รายการ รวมมูลค่ากว่า 251 ล้านบาท
ทั้งนี้ สำนักงาน ปปง. ได้เปิดให้ประชาชนผู้ได้รับความเสียหายจากการกระทำความผิดของ ห้างหุ้นส่วนจำกัด พีมายเนอร์ คริปโตเคอเรนซี่ กรุ๊ป กับพวก ยื่นคำร้องขอรับการเยียวยาความเสียหายต่อสำนักงาน ปปง. ตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ได้ตั้งแต่วันที่ 24 กันยายน 2568 ถึงวันที่ 23 ธันวาคม 2568 นี้
ในส่วนของการดำเนินคดี คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้ทำการสอบสวนปากคำประชาชนที่ได้รับความเสียหายแล้วจำนวน 630 ราย มูลค่าความเสียหายรวมทั้งสิ้นประมาณ 870 ล้านบาท และรวบรวมพยานหลักฐานดำเนินคดีกับผู้ต้องหา ในความผิดฐาน ร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์ อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน ได้ขอศาลอาญาอนุมัติหมายจับผู้ต้องหาแล้ว จำนวน 4 ราย อยู่ระหว่างการติดตามจับกุมตัว
















